เปรียบเทียบ “BYD Sealion 6 vs 7” ต่างกันยังไง เลือกรุ่นไหนดี?

byd sealion6 vs sealion7

สวัสดีค่ะ แอดมินจาก BYD ชลบุรี ออโตโมทีฟ นะคะ วันนี้ขอพาทุกท่านมาเจาะลึกความแตกต่างระหว่าง “BYD Sealion 6 กับ BYD Sealion 7” ซึ่งหลายคนสงสัยว่า “BYD Sealion 6 vs 7 ต่างกันยังไง” และจะเลือกคันไหนดีให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากที่สุด ในบทความนี้แอดมินได้รวบรวมจุดเด่นของแต่ละรุ่นมาให้แล้วค่ะ เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณมากที่สุดค่ะ

BYD Sealion 6 vs 7 ต่างกันยังไง?

  1. ความแตกต่างด้านระบบพลังงาน

BYD Sealion 7 : รถไฟฟ้า EV 100%

byd sealion 7 ชาร์จไฟ

BYD Sealion 7 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV 100%) ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลัง ให้ระยะทางวิ่งได้ไกล 542-567 กิโลเมตร/การชาร์จ (มาตรฐาน NEDC) จุดเด่นสำคัญคือ ความแรง และ อัตราเร่งที่ตอบสนองฉับไว ผสานกับดีไซน์แนวสปอร์ต ทำให้การขับขี่สนุกและเร้าใจมากขึ้น ที่สำคัญยัง ไร้การปล่อยมลพิษ และใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก จึงขับขี่ได้เงียบสนิท แต่งานนี้ก็อาจต้องเตรียมตัวเรื่องจุดชาร์จไฟ และปรับตัวกับช่วงล่างที่ค่อนข้างสปอร์ต

BYD Sealion 6 : รถ Plug-In Hybrid เติมน้ำมันก็ได้ ชาร์จไฟก็ได้

byd sealion 6 ปลั๊กอินไฮบริด

ส่วน BYD Sealion 6 คือรถยนต์ Plug-In Hybrid (DM-i Super Hybrid) ที่ผสานกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่กับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ให้คุณขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน (EV Mode) ได้ 92 กิโลเมตร และเมื่อใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์สามารถเดินทางได้ไกลสุด 1,092 กิโลเมตร ต่อการการเติมน้ำมัน 1 ถังและชาร์จไฟเต็ม จึงตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการ ความยืดหยุ่น ไม่ต้องกังวลเรื่องจุดชาร์จไฟระหว่างเดินทางไกล นอกจากนี้หลายเสียงยังบอกว่าช่วงล่างให้ความรู้สึก นุ่ม เงียบ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และขับด้วยความเร็วปานกลางได้อย่างมั่นใจ


2. ความแตกต่างระยะทางวิ่ง

BYD Sealion 7: ไฟฟ้าล้วน วิ่งไกลสะใจ

byd sealion 7 วิ่งอยู่บนถนน

สำหรับผู้ที่สนใจรถยนต์ EV 100% และต้องการ ระยะทางวิ่งที่ไกล ไม่แพ้รถใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม BYD Sealion 7 ตอบโจทย์ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วย แบตเตอรี่ความจุ 82.5 kWh ทำให้วิ่งได้ราว 542-567 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (ตามมาตรฐาน NEDC) ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานประจำวันของคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปกลับในเมือง หรือทริปสุดสัปดาห์ต่างจังหวัด โดยเฉพาะถ้ามีจุดชาร์จไฟตามสถานที่สำคัญหรือชาร์จไฟที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ จะยิ่งหมดห่วงเรื่องการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า

BYD Sealion 6: โหมด EV วิ่งได้เกือบ 100 กม. ผสานน้ำมันได้ไกลกว่า 1,092 กม.

byd sealion 6 วิ่ง

ส่วน BYD Sealion 6 เป็นรถ Plug-In Hybrid (DM-i Super Hybrid) ซึ่งผสานการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กับแบตเตอรี่ขนาด 18.3 kWh ที่มีจุดเด่นเรื่อง ระยะทางในโหมดไฟฟ้าล้วน (EV Mode) อยู่ที่ 92-95 กิโลเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมืองแบบประหยัด ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำมันหากเติมไฟไว้เต็ม แต่เมื่อรวมพลังกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตรจะวิ่งไกลได้ถึง 1,092 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง และชาร์จไฟเต็ม ทำให้ Sealion 6 ตอบสนองได้ทั้งการใช้งานในเมืองประหยัดพลังงาน และการเดินทางไกลไร้กังวลเรื่องจุดชาร์จไฟ

สรุป: หากคุณต้องการรถไฟฟ้าล้วนที่วิ่งไกล “หลักหลายร้อยกิโลเมตร” แบบไม่พึ่งน้ำมันเลย BYD Sealion 7 คือคำตอบ แต่ถ้าต้องการความอเนกประสงค์ เหมาะกับการวิ่งไฟฟ้าในเมืองแถมเดินทางไกลด้วยน้ำมันได้ BYD Sealion 6 จะตอบโจทย์กว่า และยังคงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ ช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกระดับค่ะ!


3. ความแตกต่างด้านระบบขับเคลื่อนและอัตราการเร่ง

BYD e-Platform 3.0 Evo

BYD Sealion 7: ขับเคลื่อนล้อหลัง/ขับเคลื่อน 4 ล้อ

สำหรับใครที่ชื่นชอบความหลากหลายในการขับขี่ บอกเลยว่า BYD Sealion 7 ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) และ ขับเคลื่อนล้อ 4 ล้อ (AWD) ในรุ่นย่อย ทำให้ง่ายต่อการเลือกให้เหมาะกับสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็น รถไฟฟ้าล้วน (EV 100%) ที่พัฒนาบน e-Platform 3.0 Evo ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะสำหรับ EV ทำให้สามารถออกแบบตำแหน่งวางแบตเตอรี่และมอเตอร์ได้ลงตัวกว่าแพลตฟอร์มทั่วไป และด้วยความที่เป็น EV 100% พลังไฟฟ้าล้วน จึงให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.7 วินาที และรุ่น Performance ที่แรงกว่าสามารถทำได้ถึง 4.5 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วและเร้าใจทีเดียว เหมาะสำหรับสายขับขี่ที่ต้องการพละกำลังจัดเต็ม

BYD Sealion 6: ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)

ในขณะที่ BYD Sealion 6 DM-i พัฒนาบน DM-i Legacy Platform ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ BYD พัฒนาต่อยอดจากรถยนต์เบนซินรุ่นก่อน ๆ เพื่อนำมาใช้กับระบบ Plug-In Hybrid (DM-i Super Hybrid) โดยมาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) เพียงแบบเดียว และมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในราว 8.5 วินาที แม้จะไม่จี๊ดจ๊าดเท่ารุ่น EV 100% แต่ก็เพียงพอสำหรับการเร่งแซงหรือใช้งานในชีวิตประจำวัน อีกทั้งจุดเด่นคือ ความประหยัด และ ความนุ่มเงียบ ที่หลายเสียงรีวิวว่าขับในเมืองหรือความเร็วปานกลางได้สบาย ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวนมากนัก

สรุป:

  • หากคุณเป็นสายรักความแรง ต้องการรถที่ออกตัวได้ไวในแบบ “พลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบ” และอยากสัมผัสเทคโนโลยี e-Platform 3.0 Evo BYD Sealion 7 คือคำตอบ

  • แต่ถ้าต้องการความยืดหยุ่น ประหยัด ทั้งไฟฟ้าและเบนซิน รวมถึงขับได้เงียบสบายในเมือง BYD Sealion 6 DM-i จะเหมาะกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องจุดชาร์จ และยังคงประสิทธิภาพแบบไฮบริดที่ตอบโจทย์งานเดินทางไกลอีกด้วยค่ะ!


4. ขนาดตัวรถและพื้นที่ใช้สอย

ในส่วนของขนาดตัวรถนั้น BYD Sealion 7 จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า BYD Sealion 6 เล็กน้อย โดยมีมิติตัวถังดังนี้ค่ะ

เปรียบเทียบมิติตัวถัง BYD Sealion 7 vs Sealion 6

รถรุ่น มิติตัวถัง
(ยาว x กว้าง x สูง)
ระยะใต้ท้องรถ
(Ground Clearance)
ความจุสัมภาระท้าย
BYD Sealion 6 4,775 x 1,890 x 1,670 มม. 180 มม. 425 ลิตร
BYD Sealion 7 4,830 x 1,925 x 1,620 มม. 157–163 มม. 500 ลิตร
เทียบ Byd sealion 7 vs sealion 6

BYD Sealion 7 มีมิติตัวถัง ยาว 4,830 มม. กว้าง 1,925 มม. และสูง 1,620 มม. จึงยาวกว่า Sealion 6 อยู่ 55 มม. กว้างกว่า 35 มม. แต่เตี้ยกว่า 50 มม. ซึ่งส่งผลให้ตัวรถมีลักษณะสปอร์ตมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองจากด้านข้าง ส่วนฐานล้อที่ยาว 2,930 มม. ยาวกว่า Sealion 6 ถึง 165 มม. ก็ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารโดยเฉพาะช่วงขา (Legroom) ทำให้เบาะนั่งตอนหลังมีความกว้างขวางและสบายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ระยะใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ระหว่าง 163–157 มม. เพียงพอต่อการใช้งานบนถนนทางเรียบหรือเส้นทางที่ไม่ได้ขรุขระมากเกินไป

BYD Sealion 6 มีมิติตัวถัง ยาว 4,775 มม. กว้าง 1,890 มม. และสูง 1,670 มม. แม้จะสั้นและแคบกว่า Sealion 7 อยู่เล็กน้อย แต่ด้วยความสูงที่มากกว่า 50 มม. และระยะใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 180 มม. จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องเจอถนนหลุมบ่อหรือเส้นทางขรุขระบ่อย ๆ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงที่ตัวรถจะครูดกับพื้น นอกจากนี้ พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายอยู่ที่ 425 ลิตร เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางที่ต้องขนสัมภาระไม่ใหญ่มาก

สรุป:

  • หากคุณชอบสไตล์หลังคาลาดทรง Coupe SUV ดีไซน์สปอร์ต ปราดเปรียว และต้องการพื้นที่ห้องโดยสารใหญ่ BYD Sealion 7 ตอบโจทย์ได้ดี

  • แต่ถ้าต้องการตัวรถที่สูงโปร่ง เดินทางผ่านสภาพถนนหลากหลาย ดีไซน์ทรงรถเป็น “Wagon-bodied ทรง SUV” และเน้นความอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวัน BYD Sealion 6 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าไม่แพ้กันค่ะ!


5. ตารางบำรุงรักษาและค่าใช้จ่าย

เปรียบเทียบ ตารางเช็คระยะ BYD Sealion 7 vs BYD Sealion 6

รถรุ่น ระยะเวลาครอบคลุม ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวม VAT)
BYD Sealion 6 DM-i 5 ปี หรือ 100,000 กม.
(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
~31,419.87 บาท
ตลอดระยะ 5 ปี
BYD Sealion 7 Premium 8 ปี หรือ 160,000 กม.
(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
~32,543.08 บาท
ตลอดระยะ 8 ปี
BYD Sealion 7 AWD Performance 8 ปี หรือ 160,000 กม.
(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
~41,469.32 บาท
ตลอดระยะ 8 ปี

สำหรับการดูแลและบำรุงรักษารถยนต์ BYD Sealion 6 และ BYD Sealion 7 จะเห็นความแตกต่างชัดเจนในเรื่องของตารางเช็กระยะและค่าใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลา

โดย ตารางเช็คระยะ BYD Sealion 6 จะมีรอบเช็กระยะทั้งหมด 6 ครั้ง ครอบคลุมเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เริ่มครั้งแรกที่ 6 เดือน หรือ 3,500 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) หลังการออกรถ จากนั้นจะนัดเข้าศูนย์บำรุงรักษาทุก ๆ 1 ปี จนครบ 5 ปีหรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร จึงถือว่าไม่ต้องเข้าศูนย์บ่อยมาก แต่ ทุกครั้งที่เข้าบำรุงรักษา จะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบระบบเบนซิน และทำความสะอาดไส้กรองต่าง ๆ เพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้บางช่วงมี ค่าใช้จ่ายสูงกว่า เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าล้วน อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ น้ำมัน + ไฟฟ้า ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Sealion 6 ตอบสนองไลฟ์สไตล์การเดินทางไกลได้ดี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จไฟในทุกเส้นทาง และหากมองในภาพรวมตลอด 5 ปี ค่าใช้จ่ายรวม ของการดูแลรักษารถ Plug-In Hybrid รุ่นนี้ก็ยังอยู่ในระดับที่ถือว่า คุ้มค่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและอายุการใช้งาน

ในขณะที่ BYD Sealion 7 จะมีรอบเช็กระยะ 9 ครั้ง ครอบคลุมการใช้งานยาวนานถึง 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร แม้จะต้องเข้าศูนย์บ่อยกว่า แต่ละช่วงค่าใช้จ่ายก็มักจะต่ำกว่า BYD Sealion 6 เมื่อเทียบในรอบเดียวกัน เนื่องจาก BYD Sealion 7 เป็นรถ EV 100% ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง หรือของเหลวที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์เบนซิน ทำให้รอบการบำรุงรักษาเน้นไปที่การตรวจสอบ ระบบไฟฟ้า น้ำยาหล่อเย็น และแบตเตอรี่เป็นหลัก จึงช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลาสำหรับผู้ที่ไม่อยากวุ่นวายกับขั้นตอนการดูแลเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น หากนำค่าใช้จ่ายรายครั้งมาหารเฉลี่ยตลอดช่วง 8 ปี จะยิ่งเห็นความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่อยากก้าวสู่ยุครถไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ พร้อมลดภาระเรื่อง การเติมน้ำมัน ในระยะยาว


6. ความแตกต่างด้านความปลอดภัย

ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ในการเลือกซื้อรถยนต์ และเมื่อเปรียบเทียบ BYD Sealion 6 กับ BYD Sealion 7 จะเห็นได้ชัดว่า Sealion 7 มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครันและล้ำสมัยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

BYD Sealion 7: ความปลอดภัยที่เหนือกว่าในทุกมิติ

byd sealion 7 ความปลอดภัย

BYD Sealion 7 ยังเหนือกว่า Sealion 6 ตรงที่ “ใส่ระบบความปลอดภัยและช่วยขับขี่อัจฉริยะมาแบบจัดเต็ม” มากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนต่อไปนี้

  • ถุงลมนิรภัยรอบคัน: BYD Sealion 7 จัดเต็มด้วยถุงลมนิรภัยที่ครอบคลุมถึงผู้โดยสารด้านหลัง และพิเศษด้วยถุงลมนิรภัยระหว่างคนขับกับผู้โดยสารตอนหน้า ช่วยเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในทุกการเดินทาง

  • ระบบล็อกประตูป้องกันเด็กไฟฟ้า: BYD Sealion 7 มาพร้อมระบบล็อกประตูป้องกันเด็กแบบไฟฟ้า (Child Lock) ที่ควบคุมได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสจากฝั่งคนขับ สะดวกสบายและปลอดภัยกว่า

  • ระบบ FCTA / FCTB (Front Cross Traffic Alert / Front Cross Traffic Brake) เตือนและเบรกเมื่อมีรถหรือวัตถุเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า เช่น ออกจากซอยหรือเลี้ยวตัดทาง

  • ระบบ ELKA (Emergency Lane Keeping Assist) ช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน หากรถออกนอกเลนอย่างกะทันหันโดยไม่ตั้งใจ

  • ITAC ควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ: ระบบช่วยรักษาการทรงตัวได้ดีเยี่ยมเมื่อเข้าโค้งหรือเจอถนนลื่น

  • DMS (Driver Monitoring System): ระยยตรวจจับพฤติกรรมคนขับ ช่วยลดความเสี่ยงจากความเหนื่อยล้าหรือหลับใน

BYD Sealion 6: ความปลอดภัยพื้นฐานที่เพียงพอต่อการใช้งาน

BYD ความปลอดภัย

ด้าน BYD Sealion 6 แม้จะมาพร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่าง ถุงลมนิรภัยรอบคัน (คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านนิรภัย), ESC, TCS, HHC, AEB, FCW ฯลฯ ซึ่งเพียงพอต่อการขับขี่ประจำวันทั่วไป แต่สำหรับรุ่นเริ่มต้น (Dynamic) จะได้ฟีเจอร์ ADAS ที่จำเป็นในระดับพื้นฐานเท่านั้น ส่วนฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบเตือนจุดอับสายตา (BSD), การควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC, ISLC) หรือการแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ (ISLI) จะมีใน รุ่นตัวท็อป (Premium) ที่เพิ่มเข้ามาให้ครบถ้วนขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าราคารุ่นท็อปก็สูงกว่าเล็กน้อย

สรุป : หากคุณให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยขั้นสูงและครบครันที่สุด BYD Sealion 7 จึงตอบโจทย์ได้มากกว่าในภาพรวม แต่ถ้าการใช้งานของคุณต้องการความยืดหยุ่นด้านพลังงานเป็นหลัก และพอใจกับฟีเจอร์ความปลอดภัยมาตรฐานที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน BYD Sealion 6 ก็ถือว่าเหมาะสมไม่แพ้กันค่ะ!


สนใจทดลองขับ BYD Sealion 7 และ BYD Sealion 6

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นความแตกต่างระหว่าง “BYD Sealion 6 vs 7 ต่างกันยังไง” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ หากมีคำถามหรืออยากนัดหมายทดลองขับรถทั้ง 2 รุ่นเพื่อเปรียบเทียบกัน สามารถติดต่อ BYD ชลบุรี ออโตโมทีฟ ได้เลยค่ะ ทีมงาน BYD ชลบุรี ของเราพร้อมให้คำปรึกษา ตอบทุกคำถามเรื่องสมรรถนะ การบำรุงรักษา และโปรโมชั่นสุดคุ้มของ BYD Sealion 6 vs 7 เพื่อให้คุณมั่นใจว่าการลงทุนในครั้งนี้จะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ แล้วเจอกันที่โชว์รูมค่ะ!

สำหรับชาวชลบุรีและคนในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถติดต่อโชว์รูมจำหน่าย BYD ชลบุรีได้ดังนี้

  1. BYD พัทยา (นาเกลือ) > BYD พัทยา Line OA : https://lin.ee/kIB6X50

  2. BYD ศรีราชา (ปิ่นทอง) > BYD ศรีราชา Line OA : https://lin.ee/oBhYDk4

Next
Next

ตารางผ่อน BYD Sealion 7 ล่าสุด ราคาทุกรุ่น จบครบที่นี่ที่เดียว!